เมนู

อรรถกถาอัญชนวนิยเถรคาถา


คาถาของท่านพระอัญชนวนิยเถระเริ่มต้นว่า อาสนฺทึ กุฏิกํ กตฺวา.
เรื่องราวของท่านเป็นอย่างไร ?
ได้ยินว่า ในกาลของพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่า ปทุมุตระ
ท่านเป็นช่างดอกไม้ นามว่า สุทัสสนะ บูชาพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยดอกมะลิ
กระทำบุญอย่างอื่นไว้ในภพนั้น ๆ เป็นอันมาก บวชในศาสนาของพระผู้มี-
พระภาคเจ้าทรงพระนามว่า กัสสปะ แล้วได้บำเพ็ญสมณธรรม ครั้นใน-
พุทธุปบาทกาลนี้ เกิดในตระกูลเจ้าวัชชี ในพระนครเวสาลี ในเวลาที่เขา
เจริญเติบใหญ่แล้ว ภัยทั้ง 3 คือ ภัยเกิดแต่ฝนแล้ง 1 ภัยเกิดแต่ความเจ็บไข้ 1
ภัยเกิดแต่อมนุษย์ 1 บังเกิดแล้วในแคว้นวัชชี. ภัยทั้งหมดนั้นพึงทราบโดยนัย
ดังกล่าวแล้วในอรรถกถารัตนสูตร ก็เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จถึงเมืองเวสาลี
เมื่อภัยทุกอย่างสงบแล้ว และเมื่อธรรมาภิสมัยเกิดแล้วแก่เทวดาและมนุษย์
ทั้งหลาย จำนวนมาก ในการแสดงธรรมของพระบรมศาสดา ราชกุมารนี้เห็น
พุทธานุภาพ ได้มีศรัทธา บรรพชาแล้ว.
ก็ราชกุมารนี้ มีประวัติอย่างไร แม้พระราชาอีก 4 องค์ ที่จะกล่าว
ต่อไป ก็มีประวัติอย่างนั้น ก็ราชกุมารแห่งเจ้าลิจฉวีผู้เป็นพระสหายของ
ราชกุมารนี้ แม้เหล่านั้น ก็บรรพชาแล้วโดยทำนองนี้แหละด้วยอาการอย่างนี้
คือ ราชกุมารเหล่านั้นเป็นสหายกัน แม้ในกาลของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรง
พระนามว่า กัสสปะ บวชแล้ว ก็ได้บำเพ็ญสมณธรรมร่วมกันกับราชกุมารนี้
ได้กระทำบุญมีการปลูกพืชคือกุศลเป็นต้นไว้แทบบาทมูลของพระผู้มีพระภาคเจ้า
ผู้ทรงพระนามว่า ปทุมุตตระ พระอัญชนวนิยเถระนี้ การทำบุรพกิจเสร็จแล้ว

อยู่ที่ป่าช้า ในป่าอัญชนวัน ในเมืองสาเกตนั้น เมื่อจวนถึงเวลาใกล้เข้าพรรษา
ได้ตั่งเก่า ๆ ที่มนุษย์ทั้งหลายทิ้งแล้ว วางตั่งนั้นไว้บนแผ่นหินทั้ง 4 ปกปิด
ด้านบน และด้านกว้างด้วยหญ้าเป็นต้น แล้วประกอบประตูอยู่จำพรรษา.
ท่านเพียรพยายามอยู่ ก็ได้บรรลุพระอรหัต ในเดือนแรกเท่านั้น. สมดัง
คาถาประพันธ์ที่ท่านกล่าวไว้ในอปทานว่า
ในกาลนั้นเราเป็นนายมาลาการมีชื่อว่าสุทัสสนะ
ได้เห็นพระพุทธเจ้าผู้ปราศจากธุลี เชษฐบุรุษของโลก
ประเสริฐกว่านระ เรามีจักษุบริสุทธิ์ มีใจโสมนัส
ถือดอกมะลิไปบูชาพระผู้มีพระภาคเจ้า พระนามว่า
ปทุมุตตระ ผู้ตรัสรู้แล้วมีจักษุทิพย์ ด้วยบุปผบูชานี้
และด้วยการตั้งจิตไว้ เราไม่เข้าถึงทุคติเลย ตลอดแสน
กัป ในกัปที่ 36 แต่ภัทรกัปมิได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ
16 พระองค์ มีพระนามเหมือนกันว่า เทวุตตระ มี
พลมาก. เราเผากิเลสทั้งหลายแล้ว คำสอนของ
พระพุทธเจ้าเรากระทำสำเร็จแล้ว ดังนี้.

ก็ครั้นท่านบรรลุพระอรหัตแล้ว เสวยวิมุตติสุข ออกจากสมาบัติแล้ว
พิจารณาสัมบัติตามที่ได้ เมื่อจะเปล่งอุทานด้วยกำลังปีติ จึงได้กล่าวคาถาว่า
เราเข้าไปสู่ป่าอัญชนวัน ทำตั่งให้เป็นกุฎีแล้ว
ได้บรรลุวิชชา 3 คำสอนของพระพุทธเจ้า เรากระทำ
สำเร็จแล้ว ดังนี้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อาสนฺทิกุฏิกํ กตฺวา ความว่า ตั่ง 4
เหลี่ยม ขายาว ชื่อว่า อาสันทิ แม้ตั่ง 4 เหลี่ยมกว้างก็มีเหมือนกัน. พระ
เถระกระทำตั่ง ที่สามารถเพื่อจะนั่งได้อย่างเดียว นอนไม่ได้ ให้เป็นกุฎี
เพื่ออยู่อาศัย โดยนัยดังกล่าวแล้วในหนหลัง คือกระทำให้เป็นกุฎี โดยประการ

ที่ เมื่อนั่งบนตั่งนั้นแล้ว สามารถบำเพ็ญสมณธรรมได้โดยสะดวกเพราะไม่มี
อันตรายอันเกิดแต่ฤดู. พระเถระแสดงถึงความมักน้อย และความสันโดษ
อย่างยอดเยี่ยมในเสนาสนะของตน ด้วยบทนี้. สมดังคาถาประพันธ์ ที่ท่าน
พระธรรมเสนาบดีกล่าวไว้ว่า
การนั่งขัดสมาธิ นับว่าพอเป็นการอยู่อย่างสบาย
ของภิกษุ ผู้มีใจเด็ดเดี่ยว ดังนี้.

อาจารย์อีกพวกหนึ่ง อ้างปาฐะว่า อาสนฺทิกุฏิกํ แล้วกล่าวอธิบายว่า
กระทำกุฎีขนาดเท่าตั่ง. ส่วนอาจารย์เหล่าอื่น กล่าวอธิบายว่า กุฎีที่ทำไว้บน
เตียงเฉพาะ คนจะนั่งทำเป็นอาสนะเป็นต้น (วอหาม) ชื่อว่า อาสันทิ กระทำ
อาสันทินั้นให้เป็นกุฎี.
บทว่า โอคยฺห ความว่า หยั่งลง คือเข้าไปแล้วโดยลำดับ. บทว่า
อญฺชนํวนํ ได้แก่ป่าที่มีชื่ออย่างนี้ อธิบายว่า เถาวัลย์ ท่านเรียกว่า อัญชนะ
เพราะมีดอกมีสีเหมือนดอกอัญชัน ป่านั้นได้นามว่า อัญชนวัน เพราะมากไป
ด้วยเถาวัลย์นั้น. ส่วนอาจารย์พวกอื่นกล่าวว่า กอไม้ใหญ่ ชื่อว่าอัญชนวัน
ต้องนำคำที่เหลือว่า วิหรโต มยา มาประกอบความว่า เราเข้าไปสู่ป่าอัญชนวัน
นั้น กระทำตั่งให้เป็นกุฎี บรรลุวิชชา 3 โดยลำดับ กระทำคำสอนของพระ
พุทธเจ้าแล้วอยู่. ก็คำเป็นคาถานี้แหละ ได้เป็นคาถาพยากรณ์พระอรหัตผล
ของพระเถระ ฉะนี้แล.
จบอรรถกถาอัญชนวนิยเถรคาถา

6. กุฏีวิหารีเถรคาถา
ว่าด้วยคาถาของพระกุฏีวิหารีเถระ


[193] ได้ยินว่า พระกุฏิวิหารีเถระได้ภาษิตคาถานี้ไว้ อย่างนี้ว่า
ใครนั่งอยู่ในกุฎี ภิกษุผู้ปราศจากราคะ มีจิตตั้ง
มั่นอยู่ในกุฎี ขอท่านจงรู้อย่างนี้เถิดอาวุโส กุฎีที่ท่าน
ทำไว้แล้ว ไม่ไร้ประโยชน์เลย.

อรรถกถากุฎีวิหารีเถรคาถา


คาถาของท่านพระกุฏิวิหารีเถระ เริ่มต้นว่า โก กุฏีกายํ. เรื่อง
ราวของท่านเป็นอย่างไร ?
ได้ยินว่า เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่า ปทุมุตตระ เสด็จ
ไปทางอากาศ ท่านถือหม้อน้ำเย็นไปด้วยคิดว่า เราจักถวายน้ำเป็นทาน แล้ว
เกิดปีติโสมนัส แหงนหน้าขึ้น โยนหม้อน่าขึ้นไป (บนอากาศ) พระศาสดา
ทรงทราบอัธยาศัยของท่าน แล้วประทับยืนอยู่ในอากาศรับหม้อน้ำ เพื่อเจริญ
ศรัทธาปสาทะ. ด้วยการรับน้ำนั้น ท่านเสวยปีติโสมนัสมิใช่น้อย. ข้อความที่
เหลือ คล้ายกับที่กล่าวไว้ในเรื่องของพระอัญชนวนียเถระ ทั้งนั้น. ส่วนข้อ
ที่แปลกกันมีดังนี้
ได้ยินว่า ท่านบวชโดยนัยดังกล่าวแล้ว กระทำบุรพกิจเสร็จแล้ว
ขวนขวายวิปัสสนา ในเวลาเย็นเดินทางไปใกล้ที่นา เมื่อฝนลงเม็ด เห็นกุฎี